1.สาร คืออะไร
สาร หมายถึง สิ่งที่มีองค์ประกอบอย่างเดียว มีสมบัติเฉพาะตัว ไม่สามารถแบ่งแยกให้เป็นส่วนอื่นๆ ที่มีองค์ประกอบและสมบัติต่างไปจากเดิมเช่น อากาศ เกลือ น้ำตาล เป็นต้นในการจำแนกสารต้องใช้เกณฑ์ ดังนี้
เกณฑ์ในการจำแนกสาร
สถานะของสารแบ่งเป็น 3 สถานะ
ของแข็ง : รูปร่างคงที่ อนุภาคเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบและอยู่ชิดกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมาก อนุภาคเคลื่อนที่ไม่เป็นอิสระ
ของเหลว : รูปร่างไม่คงที่ เปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคเรียงตัวกันอย่างไม่เป็นระเบียบและอยู่ไม่ชิดกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มาก อนุภาคเคลื่อนที่ได้ในระยะสั้นๆ
แก๊ส : รูปร่างไม่คงที่ เปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ห่างกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อย อนุภาคเคลื่อนที่เป็นอิสระ
ลักษณะเนื้อสาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
สารเนื้อเดียว หมายถึง สารที่มีเนื้อสารกลมกลืนกันมองเห็นเป็นเนื้อเดียวตลอด
เช่น น้ำตาล เกลือ เป็นต้น โดยที่สารเนื้อเดียวมีองค์ประกอบเพียงชนิดเดียว
หรือมากกว่า 1 ชนิดก็ได้
สารเนื้อผสม หมายถึง สารที่มีเนื้อสารไม่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน สามารถสังเกตและบอกได้ว่ามีสารองค์ประกอบมากกว่า 1 ชนิด สมบัติของสารไม่เหมือนกันหมดทั่วทุกส่วน เช่น น้ำโคลน เป็นต้น
การละลายน้ำ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
สารที่ละลายน้ำได้ดี เป็นสารที่ละลายและผสมกลมกลืนกับน้ำได้ดี เช่น น้ำตาลทราย เป็นต้น
สารที่ละลายน้ำได้บ้าง เป็นสารที่ประกอบขึ้นจากสารหลายชนิด โดยสารบางชนิดสามารถละลายน้ำได้ แต่สารบางชนิดไม่สามารถละลายน้ำได้ เช่น สบู่ เป็นต้น
สารที่ละลายน้ำไม่ได้ เป็นสารที่เมื่อผสมกับน้ำแล้วตั้งทิ้งไว้ให้อยู่นิ่ง จะแยกตัวออกจากน้ำ เช่น น้ำมัน เป็นต้น
ความเป็นกรด-เบส ของสารแบ่งเป็น 3 ประเภท
สารที่เป็นกรดคือ สารที่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง
สารที่เป็นเบสคือ สารที่เปลี่ยนกระดาษลิตมัสจากแดงเป็นน้ำเงิน
สารที่เป็นกลางคือ สารที่ไม่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส
การนำไฟฟ้า ของสารแบ่งเป็น 2 ประเภท
สารที่สามารถนำไฟฟ้าได้ เรียกว่า ตัวนำไฟฟ้า เช่น ลวด แท่งเหล็ก เป็นต้น
สารที่ไม่สามารถนำไฟฟ้าได้ เรียกว่าฉนวนไฟฟ้า เช่น ไม้ แก้ว ยาง พลาสติก เป็นต้น
การนำความร้อน ของสารแบ่งเป็น 2 ประเภท
สารที่สามารถนำความร้อนได้ เรียกว่า ตัวนำความร้อน เช่น อะลูมิเนียม เหล็ก เป็นต้น
สารที่ไม่สามารถนำความร้อนได้ เรียกว่า ฉนวนความร้อน เช่น ไม้ พลาสติก เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงของสาร เกิดขึ้นเมื่อสารได้รับพลังงานความร้อน (เพิ่มอุณหภูมิ) หรือคายพลังงานความร้อน (ลดอุณหภูมิ) ทำให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะ
การเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว เกิดเมื่ออนุภาคของของแข็งได้รับความร้อน ทำให้อนุภาคของของแข็งซึ่งเดิมจัดเป็นระเบียบเกิดการสั่น
การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊ส เกิดเมื่ออนุภาคของของเหลวได้รับความร้อน ทำให้อนุภาคของของเหลว เกิดการสั่น
การเปลี่ยนสถานะเมื่อสารได้รับความร้อน (เพิ่มอุณหภูมิ)
- ของแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว
- ของเหลวเปลี่ยนสถานะเป็นแก๊ส เรียกว่า การกลายเป็นไอ
- ของแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นแก๊ส เรียกว่า การระเหยการเปลี่ยน
สถานะเมื่อสารคายความร้อน (ลดอุณหภูมิ)
- แก๊สเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น
- ของเหลวเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า การเยือกแข็ง
- แก๊สเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า การควบแน่น
การละลายน้ำของสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการนำสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกันแล้วสารที่ผสมกันละลายเป็นเนื้อเดียว โดยที่สารที่มีปริมาณมาก เรียกว่า ตัวทำละลาย และสารที่มีปริมาณน้อยเรียกว่า ตัวละลาย